HOW TO:
แต่งหน้า
ฉบับมือใหม่
แนะนำวิธีการแต่งหน้าง่าย ๆ นำไปใช้ได้กับทุกสภาพผิวเหมาะสำหรับมือใหม่แต่งเป็นภายใน 10 ขั้นตอน
HOW TO:
แต่งหน้า
ฉบับมือใหม่
แนะนำวิธีการแต่งหน้าง่าย ๆ นำไปใช้ได้กับทุกสภาพผิวเหมาะสำหรับมือใหม่แต่งเป็นภายใน 10 ขั้นตอน
ใครที่แวะเวียนมาอ่านบทความนี้อาจจะเป็นมือใหม่
หัดแต่งหน้า หรือเพิ่งเริ่มลองแต่งหน้าครั้งแรก
การแต่งหน้าไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่ต้องรู้จัก
ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด วิธีใช้ และการเลือกประเภท
ของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวของเรา ไม่ว่าจะเป็น
ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวมัน รูขุมขนกว้าง หรือรูขุมขน
อุดตันง่าย How-To วันนี้จะมาแนะนำวิธีการแต่งหน้าง่าย ๆ
นำไปใช้ได้กับทุกสภาพผิว เหมาะสำหรับมือใหม่ค่ะ
ปัญหาใหญ่ของมือใหม่หัดแต่งหน้าก็คือ
“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี” และ “ไม่รู้ว่าต้องใช้ผลิตภัณฑ์
ตัวไหนก่อนหลัง” ถึงแม้ว่าจะไปช้อปเครื่องสำอางมารอไว้แล้ว
ก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือแต่งบนหน้าตัวเองสักที
ลองสลัดความกลัว มองหน้าตัวเองในกระจก
เปิดไฟให้สว่าง นึกภาพที่เราอยากจะเป็น
จากนั้นก็เริ่มกันได้เลย!
1. ทำความสะอาดผิว
และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
หลังจากเช็ดเครื่องสำอางด้วยเมคอัพ รีมูฟเวอร์ (Makeup Remover) เรียบร้อยแล้ว ก็ตามด้วย โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่ง (Cleansing) เพื่อให้ผิวสะอาดล้ำลึก ขจัดทั้งฝุ่น และเครื่องสำอางที่อาจเหลือตกค้างอยู่ให้หมดจด และสามารถตามด้วยโทนเนอร์ (Toner) เพื่อปรับสมดุลของผิวหน้า และพร้อมได้รับการบำรุงในขั้นตอนต่อไปอย่างเต็มที่
การเลือกโทนเนอร์ให้เหมาะกับผิวก็เป็นเรื่องสำคัญนะคะ ใครที่มีผิวมัน หรือเป็นสิวง่าย แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำมัน หรือน้ำหอม เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเหล่านั้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ไม่ให้สิวมาถามหาเราบ่อย ๆ นอกจากนี้อาจเลือกใช้โทนเนอร์ที่สามารถขจัดความมันส่วนเกิน และช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้ด้วย ส่วนใครที่มีผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีความสามารถในการเติมหรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ สามารถใช้ร่วมกับสำลี ให้เช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึก และไม่ควรถูแรง เนื่องจากผิวหน้ามีความบอบบางเป็นพิเศษ
1. ทำความสะอาดผิว
และเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
หลังจากเช็ดเครื่องสำอางด้วยเมคอัพ รีมูฟเวอร์ (Makeup Remover) เรียบร้อยแล้ว ก็ตามด้วย โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่ง (Cleansing) เพื่อให้ผิวสะอาดล้ำลึก ขจัดทั้งฝุ่น และเครื่องสำอางที่อาจเหลือตกค้างอยู่ให้หมดจด และสามารถตามด้วยโทนเนอร์ (Toner) เพื่อปรับสมดุลของผิวหน้า และพร้อมได้รับการบำรุงในขั้นตอนต่อไปอย่างเต็มที่
การเลือกโทนเนอร์ให้เหมาะกับผิวก็เป็นเรื่องสำคัญนะคะ ใครที่มีผิวมัน หรือเป็นสิวง่าย แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำมัน หรือน้ำหอม เพื่อหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเหล่านั้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการระคายเคือง ไม่ให้สิวมาถามหาเราบ่อย ๆ นอกจากนี้อาจเลือกใช้โทนเนอร์ที่สามารถขจัดความมันส่วนเกิน และช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนได้ด้วย ส่วนใครที่มีผิวธรรมดา หรือผิวแห้ง แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีความสามารถในการเติมหรือเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า การเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ สามารถใช้ร่วมกับสำลี ให้เช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึก และไม่ควรถูแรง เนื่องจากผิวหน้ามีความบอบบางเป็นพิเศษ
มาถึงขั้นตอนการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า โดยตัวเอกในขั้นตอนนี้จะเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า เพราะหากผิวหน้าแห้ง ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จะทำให้การแต่งหน้ายากขึ้น และเครื่องสำอางจะไม่ติดทนได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์แบบไหนดี ลองเลือกใช้เป็น #เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base ดูนะคะ ตัวนี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์สูตร Oil-Free ไม่มีน้ำมัน เติมน้ำให้ผิวด้วยคุณค่าจากเชียร์บัตเตอร์ วิตามินบี ซี และอี พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุต ช่วยผ่อนคลายผิว ปราศจากพาราเบน พาทาเลต ซัลเฟต กลูเตน ส่วนผสมจากสัตว์ รวมถึงยังมีคุณสมบัติเสมือนไพรเมอร์ในการช่วยปรับสภาพผิวให้เตรียมพร้อมสำหรับการแต่งหน้า ช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น และทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้นด้วยค่ะ โดยตัวนี้จะใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการลงสกินแคร์ และเป็นขั้นแรกของการเริ่มต้นแต่งหน้าค่ะ
เรียงลำดับง่าย ๆ แบบนี้เลยค่ะ
1. เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base
2. ครีมกันแดด
3. คอนซีลเลอร์ / รองพื้น
เบสบำรุงผิวก่อนแต่งหน้าที่เป็นทั้งมอยส์เจอไรเซอร์และไพรเมอร์ในหนึ่งเดียว ช่วยเติมความชุ่มชื้นด้วยเชียร์บัตเตอร์ วิตามิน B C E พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุตและเจอราเนียม ปราศจากน้ำหอมและน้ำมัน ใช้ได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอนโดยไม่ทำให้ผิวอุดตัน การันตีความนิยมจากทั่วโลกด้วยยอดขาย 1 กระปุกในทุกๆ 10 วินาที**ข้อมูลจากยอดขายทั่วโลกของ Bobbi Brown ช่วงเดือนมีนาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567
มาถึงขั้นตอนการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า โดยตัวเอกในขั้นตอนนี้จะเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า เพราะหากผิวหน้าแห้ง ขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น จะทำให้การแต่งหน้ายากขึ้น และเครื่องสำอางจะไม่ติดทนได้ค่ะ หากใครยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์แบบไหนดี ลองเลือกใช้เป็น #เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base ดูนะคะ ตัวนี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์สูตร Oil-Free ไม่มีน้ำมัน เติมน้ำให้ผิวด้วยคุณค่าจากเชียร์บัตเตอร์ วิตามินบี ซี และอี พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุต ช่วยผ่อนคลายผิว ปราศจากพาราเบน พาทาเลต ซัลเฟต กลูเตน ส่วนผสมจากสัตว์ รวมถึงยังมีคุณสมบัติเสมือนไพรเมอร์ในการช่วยปรับสภาพผิวให้เตรียมพร้อมสำหรับการแต่งหน้า ช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น และทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้นด้วยค่ะ โดยตัวนี้จะใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการลงสกินแคร์ และเป็นขั้นแรกของการเริ่มต้นแต่งหน้าค่ะ
เรียงลำดับง่าย ๆ แบบนี้เลยค่ะ
1. เบสบำรุงผิว Vitamin Enriched Face Base
2. ครีมกันแดด
3. คอนซีลเลอร์ / รองพื้น
เบสบำรุงผิวก่อนแต่งหน้าที่เป็นทั้งมอยส์เจอไรเซอร์และไพรเมอร์ในหนึ่งเดียว ช่วยเติมความชุ่มชื้นด้วยเชียร์บัตเตอร์ วิตามิน B C E พร้อมกลิ่นหอมจากเกรปฟรุตและเจอราเนียม ปราศจากน้ำหอมและน้ำมัน ใช้ได้ทั้งตอนเช้าและก่อนนอนโดยไม่ทำให้ผิวอุดตัน การันตีความนิยมจากทั่วโลกด้วยยอดขาย 1 กระปุกในทุกๆ 10 วินาที**ข้อมูลจากยอดขายทั่วโลกของ Bobbi Brown ช่วงเดือนมีนาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567
2. ทาครีมกันแดดป้องกัน
แสงยูวี (UV) ไม่ให้ทำร้ายผิว
เมื่อผิวหน้าสะอาดรวมถึงเติมความชุ่มชื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราต้องป้องกันผิวหน้าจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดด (Sunscreen) การทาครีมกันแดดมีความสำคัญมากนะคะ และต้องทาทุกวันแม้จะไม่ได้แต่งหน้าก็ตาม เพราะรังสี UV มีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะแสงแดด ซึ่งครีมกันแดดจะช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าหมองคล้ำ และลดโอกาสการที่ผิวหน้าจะถูกทำลายจากแสง UV ซึ่งสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งผิวหนัง เจ้าครีมกันแดดนี้มีให้เลือกมากมายหลายชนิด ลองหาตัวที่มี SPF 50+ ที่สามารถปกป้องได้ยาวนานสัก 8 ชั่วโมง เพราะเวลาออกไปนอกบ้าน แน่นอนว่าเราก็คงไม่อยากทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ
2. ทาครีมกันแดดป้องกัน
แสงยูวี (UV) ไม่ให้ทำร้ายผิว
เมื่อผิวหน้าสะอาดรวมถึงเติมความชุ่มชื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเราต้องป้องกันผิวหน้าจากรังสี UV ด้วยครีมกันแดด (Sunscreen) การทาครีมกันแดดมีความสำคัญมากนะคะ และต้องทาทุกวันแม้จะไม่ได้แต่งหน้าก็ตาม เพราะรังสี UV มีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะแสงแดด ซึ่งครีมกันแดดจะช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าหมองคล้ำ และลดโอกาสการที่ผิวหน้าจะถูกทำลายจากแสง UV ซึ่งสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งผิวหนัง เจ้าครีมกันแดดนี้มีให้เลือกมากมายหลายชนิด ลองหาตัวที่มี SPF 50+ ที่สามารถปกป้องได้ยาวนานสัก 8 ชั่วโมง เพราะเวลาออกไปนอกบ้าน แน่นอนว่าเราก็คงไม่อยากทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ
3. ปกปิดจุดบกพร่องด้วย
คอนซีลเลอร์ (Concealer)
ปกปิดจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้าเรา เช่น ใต้ตา สิว รอยสิว รอยดำ รอยแผลเป็น หรือบริเวณที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วยคอนซีลเลอร์ (Concealer) ไม่ว่าจะดูหนัง ดูซีรีส์เกาหลี หรืออ่านหนังสือสอบจนดึก ขอบตาดำเป็นแพนด้า เจ้าคอนซีลเลอร์นี่แหละค่ะเป็นไอเท็มลับที่จะมาช่วยชีวิตเราไว้ มือใหม่หลายคนอาจสงสัย อ้าว แล้วแค่รองพื้นไม่พอเหรอ? บอกเลยว่าไม่พอค่ะ คอนซีลเลอร์จะมีเม็ดสีที่เข้มกว่าตัวรองพื้น ดังนั้นจะสามารถปกปิดเฉพาะจุดได้ดีกว่า แถมยังมีหลายเฉดสีให้เลือกอีกด้วย และหากคนไหนแต่งหน้าจนชำนาญแล้ว บางครั้งคอนซีลเลอร์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ปกปิดอย่างเดียว แต่ยังใช้ทำเฉดดิ้ง หรือไฮไลต์ได้ด้วยนะคะ ส่วนรูปแบบของคอนซีลเลอร์นั้นก็มีหลากหลาย ทั้งแบบครีม แบบน้ำ และแบบพัฟ แต่สำหรับมือใหม่ ขอแนะนำเป็นคอนซีลเลอร์แบบน้ำ จะทำให้ลงง่ายกว่าแบบอื่น ๆ แต่ถ้าใครซื้อแบบอื่น มาแล้วก็อย่าเพิ่งทิ้งไปนะคะ ลองใช้ดูก่อนได้ค่ะ อาจจะชอบและถนัดมากกว่าแบบน้ำก็ได้ ทั้งนี้ขอบอกว่าแบบครีมจะค่อนข้างปกปิดได้ดีกว่าแบบน้ำค่ะ แต่วิธีใช้ก็ต้องระวังนิดนึงนะคะ ให้ใช้นิ้วแตะ ๆ ใต้รอบดวงตา หรือบริเวณอื่นที่ต้องการปกปิด ไม่ควรถู เพราะจะทำให้เป็นคราบได้ง่ายค่ะ
สามารถใช้ คอเร็กเตอร์ (Corrector) ด้วยก็ได้นะคะ เพราะบริเวณที่เราต้องการปกปิดนั้นมีสีที่ต่างกัน เช่น ใต้ตาสีม่วง สีเขียว หรือสิวอักเสบสีแดง ซึ่งต้องทำการคอเร็กสีผิวให้ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
3. ปกปิดจุดบกพร่องด้วย
คอนซีลเลอร์ (Concealer)
ปกปิดจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้าเรา เช่น ใต้ตา สิว รอยสิว รอยดำ รอยแผลเป็น หรือบริเวณที่สีผิวไม่สม่ำเสมอ ด้วยคอนซีลเลอร์ (Concealer) ไม่ว่าจะดูหนัง ดูซีรีส์เกาหลี หรืออ่านหนังสือสอบจนดึก ขอบตาดำเป็นแพนด้า เจ้าคอนซีลเลอร์นี่แหละค่ะเป็นไอเท็มลับที่จะมาช่วยชีวิตเราไว้ มือใหม่หลายคนอาจสงสัย อ้าว แล้วแค่รองพื้นไม่พอเหรอ? บอกเลยว่าไม่พอค่ะ คอนซีลเลอร์จะมีเม็ดสีที่เข้มกว่าตัวรองพื้น ดังนั้นจะสามารถปกปิดเฉพาะจุดได้ดีกว่า แถมยังมีหลายเฉดสีให้เลือกอีกด้วย และหากคนไหนแต่งหน้าจนชำนาญแล้ว บางครั้งคอนซีลเลอร์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ปกปิดอย่างเดียว แต่ยังใช้ทำเฉดดิ้ง หรือไฮไลต์ได้ด้วยนะคะ ส่วนรูปแบบของคอนซีลเลอร์นั้นก็มีหลากหลาย ทั้งแบบครีม แบบน้ำ และแบบพัฟ แต่สำหรับมือใหม่ ขอแนะนำเป็นคอนซีลเลอร์แบบน้ำ จะทำให้ลงง่ายกว่าแบบอื่น ๆ แต่ถ้าใครซื้อแบบอื่น มาแล้วก็อย่าเพิ่งทิ้งไปนะคะ ลองใช้ดูก่อนได้ค่ะ อาจจะชอบและถนัดมากกว่าแบบน้ำก็ได้ ทั้งนี้ขอบอกว่าแบบครีมจะค่อนข้างปกปิดได้ดีกว่าแบบน้ำค่ะ แต่วิธีใช้ก็ต้องระวังนิดนึงนะคะ ให้ใช้นิ้วแตะ ๆ ใต้รอบดวงตา หรือบริเวณอื่นที่ต้องการปกปิด ไม่ควรถู เพราะจะทำให้เป็นคราบได้ง่ายค่ะ
สามารถใช้ คอเร็กเตอร์ (Corrector) ด้วยก็ได้นะคะ เพราะบริเวณที่เราต้องการปกปิดนั้นมีสีที่ต่างกัน เช่น ใต้ตาสีม่วง สีเขียว หรือสิวอักเสบสีแดง ซึ่งต้องทำการคอเร็กสีผิวให้ถูกต้องเสียก่อน จึงจะลงคอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
4. ปรับสีผิวให้เนียนเท่ากันด้วย
รองพื้น (Foundation)
มาต่อกันด้วยรองพื้น (Foundation) ไอเท็มที่ ทุกคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งอุปกรณ์และวิธีการในที่ใช้ลงรองพื้นนั้นมีหลายแบบมาก ๆ ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของแต่ละคน รวมถึงขึ้นอยู่กับรูปแบบของเนื้อรองพื้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดแต่งหน้า แนะนำให้เริ่มต้นจากการใช้รองพื้นแบบลิควิดหรือแบบน้ำ และลงด้วยนิ้วมือก่อน โดยกดหรือเทเนื้อรองพื้นไว้บนหลังมือเพื่อกะปริมาณ ทั่วไปแนะนำอยู่ที่ 1 ปั๊ม แล้วค่อย ๆ ใช้นิ้วแตะเป็นจุด ๆ ทั่วใบหน้า (หรือจะลงทีละจุดก็ได้ค่ะ) จากนั้นก็ใช้นิ้วเกลี่ยจนกว่าเนื้อรองพื้นจะกลืนไปกับผิวของเราเท่า ๆ กันค่ะ ทั้งนี้รองพื้นแต่ละรุ่นก็จะให้ Finish Look ที่แตกต่างกันด้วยนะคะ
หากใครกำลังมองหาหรือต้องการการปกปิดขั้นสูงสุด แนะนำ #รองพื้นติดทน Skin Long-Wear Weightless Foundation SPF 15 เป็นเนื้อลิควิด ไม่หนาจนเกินไป มาในขวดปั๊ม ใช้งานง่าย หรือถ้าใครอยากได้งานผิวโกลว์ ผิวกระจก ความฉ่ำวาวเล่นแสง แนะนำเป็น #รองพื้นเซรั่ม Intensive Skin Serum Foundation SPF 40 PA+++ เป็นเนื้อลิควิดเช่นกัน แต่จะมีความบางเบากว่า และมีส่วนผสมของการบำรุงผิวหน้าไปในตัวด้วยค่ะ สามารถเลือกได้ตามความชอบเลย
เมื่อลงรองพื้นเสร็จแล้ว จากนั้นแนะนำให้ลงแป้งฝุ่นเพื่อเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัวและติดทนนานมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้รองพื้นไหลเยิ้มเพราะสภาพอากาศไปเสียก่อน
4. ปรับสีผิวให้เนียนเท่ากันด้วย
รองพื้น (Foundation)
มาต่อกันด้วยรองพื้น (Foundation) ไอเท็มที่ ทุกคนคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว ซึ่งอุปกรณ์และวิธีการในที่ใช้ลงรองพื้นนั้นมีหลายแบบมาก ๆ ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชอบของแต่ละคน รวมถึงขึ้นอยู่กับรูปแบบของเนื้อรองพื้นด้วยเช่นเดียวกัน แต่สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดแต่งหน้า แนะนำให้เริ่มต้นจากการใช้รองพื้นแบบลิควิดหรือแบบน้ำ และลงด้วยนิ้วมือก่อน โดยกดหรือเทเนื้อรองพื้นไว้บนหลังมือเพื่อกะปริมาณ ทั่วไปแนะนำอยู่ที่ 1 ปั๊ม แล้วค่อย ๆ ใช้นิ้วแตะเป็นจุด ๆ ทั่วใบหน้า (หรือจะลงทีละจุดก็ได้ค่ะ) จากนั้นก็ใช้นิ้วเกลี่ยจนกว่าเนื้อรองพื้นจะกลืนไปกับผิวของเราเท่า ๆ กันค่ะ ทั้งนี้รองพื้นแต่ละรุ่นก็จะให้ Finish Look ที่แตกต่างกันด้วยนะคะ
หากใครกำลังมองหาหรือต้องการการปกปิดขั้นสูงสุด แนะนำ #รองพื้นติดทน Skin Long-Wear Weightless Foundation SPF 15 เป็นเนื้อลิควิด ไม่หนาจนเกินไป มาในขวดปั๊ม ใช้งานง่าย หรือถ้าใครอยากได้งานผิวโกลว์ ผิวกระจก ความฉ่ำวาวเล่นแสง แนะนำเป็น #รองพื้นเซรั่ม Intensive Skin Serum Foundation SPF 40 PA+++ เป็นเนื้อลิควิดเช่นกัน แต่จะมีความบางเบากว่า และมีส่วนผสมของการบำรุงผิวหน้าไปในตัวด้วยค่ะ สามารถเลือกได้ตามความชอบเลย
เมื่อลงรองพื้นเสร็จแล้ว จากนั้นแนะนำให้ลงแป้งฝุ่นเพื่อเซ็ตรองพื้นให้อยู่ตัวและติดทนนานมากยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้รองพื้นไหลเยิ้มเพราะสภาพอากาศไปเสียก่อน
5. เขียนคิ้วให้เป็นดั่ง
มงกุฎของใบหน้า
เคล็ดลับสำหรับการเขียนคิ้วให้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับมือใหม่ คือ การกันคิ้ว นั่นเองค่ะ สำหรับมือใหม่ หากยังไม่มั่นใจ แนะนำให้ไปกันคิ้วที่เคาน์เตอร์นะคะ อย่าเพิ่งทำเอง เพราะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำเรื่องทรงคิ้วที่เหมาะกับใบหน้าของแต่ละคนได้ดีกว่านะคะ แต่ถ้าเรามีทรงคิ้วที่ชอบในใจอยู่แล้ว สามารถนำไปปรึกษาก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
หลังจากกันคิ้วเรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มต้นเขียนคิ้ว โดยวาดโครงร่างจากหัวคิ้วไปหางคิ้ว ค่อย ๆ เขียนไปตามโครงคิ้วที่เราได้กันไว้แล้ว แล้วใช้แปรงปัดหัวคิ้วให้ดูฟุ้ง ไม่เป็นเส้นแข็ง หรือถ้าใครอยากสะดวก ก็สามารถใช้แผ่นช่วยเขียนคิ้วที่มีลักษณะเป็นสติ๊กเกอร์ แปะไปที่คิ้ว แล้วก็วาดตามได้เลย แต่ให้ระวังเรื่องน้ำหนักการเขียนด้วยนะคะ หากเป็นการแต่งหน้าในชีวิตประจำวัน ไม่ควรเขียนเส้นหนาและเข้มจนดูไม่เป็นธรรมชาตินะคะ โดยทั่วไปแล้วหัวคิ้วจะต้องเป็นส่วนที่มีสีอ่อนที่สุด และไล่ไปจนปลายหางคิ้วมีสีเข้มที่สุดค่ะ
ช่วงแรกที่เริ่มเขียน อาจใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะได้คิ้วทั้งสองข้างที่เท่ากัน และเป็นทรงที่ต้องการ ให้หมั่นฝึกเขียนบ่อย ๆ ให้ชินมือจนเกิดความชำนาญ จะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการแต่งคิ้วไปได้เยอะเลยค่ะ
5. เขียนคิ้วให้เป็นดั่ง
มงกุฎของใบหน้า
เคล็ดลับสำหรับการเขียนคิ้วให้ง่ายยิ่งขึ้นสำหรับมือใหม่ คือ การกันคิ้ว นั่นเองค่ะ สำหรับมือใหม่ หากยังไม่มั่นใจ แนะนำให้ไปกันคิ้วที่เคาน์เตอร์นะคะ อย่าเพิ่งทำเอง เพราะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำเรื่องทรงคิ้วที่เหมาะกับใบหน้าของแต่ละคนได้ดีกว่านะคะ แต่ถ้าเรามีทรงคิ้วที่ชอบในใจอยู่แล้ว สามารถนำไปปรึกษาก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
หลังจากกันคิ้วเรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มต้นเขียนคิ้ว โดยวาดโครงร่างจากหัวคิ้วไปหางคิ้ว ค่อย ๆ เขียนไปตามโครงคิ้วที่เราได้กันไว้แล้ว แล้วใช้แปรงปัดหัวคิ้วให้ดูฟุ้ง ไม่เป็นเส้นแข็ง หรือถ้าใครอยากสะดวก ก็สามารถใช้แผ่นช่วยเขียนคิ้วที่มีลักษณะเป็นสติ๊กเกอร์ แปะไปที่คิ้ว แล้วก็วาดตามได้เลย แต่ให้ระวังเรื่องน้ำหนักการเขียนด้วยนะคะ หากเป็นการแต่งหน้าในชีวิตประจำวัน ไม่ควรเขียนเส้นหนาและเข้มจนดูไม่เป็นธรรมชาตินะคะ โดยทั่วไปแล้วหัวคิ้วจะต้องเป็นส่วนที่มีสีอ่อนที่สุด และไล่ไปจนปลายหางคิ้วมีสีเข้มที่สุดค่ะ
ช่วงแรกที่เริ่มเขียน อาจใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะได้คิ้วทั้งสองข้างที่เท่ากัน และเป็นทรงที่ต้องการ ให้หมั่นฝึกเขียนบ่อย ๆ ให้ชินมือจนเกิดความชำนาญ จะช่วยลดเวลาที่ใช้ในการแต่งคิ้วไปได้เยอะเลยค่ะ
6. เพิ่มสีสันให้เปลือกตาด้วย
อายแชโดว์ (Eyeshadow)
โทนสีของเปลือกตาที่เราเลือกมีผลทำให้ลุคของการแต่งหน้าเปลี่ยนไปนะคะ อายแชโดว์สีพื้นฐานที่ควรมีไว้ติดกระเป๋าเครื่องสำอาง ก็คือ สีเบจ หรือ ชมพูอ่อน ซึ่งเป็นเหมือนสีเริ่มต้น สามารถใช้ได้หลายงาน ไม่ว่าจะลุคออกงานสังคม ทานข้าว ปาร์ตี้ หรือไปสมัครงานก็ยังได้ แต่ถ้าหากอยากให้ตาดูหวานขึ้นก็ให้ลองใช้สีชมพู ถ้าอยากได้ลุคสดใสก็แนะนำเป็นสีส้ม หรือถ้าอยากได้คลาสสิคลุค ก็ลองสีน้ำตาล-ทองดูได้ค่ะ
วิธีการลงอายแชโดว์ก็ไม่ยาก มือใหม่สามารถใช้นิ้วแต้มอายแชโดว์ลงไปบนเปลือกตาได้เลยค่ะ ค่อย ๆ แต้มลงไปโดยเริ่มจากสีอ่อนให้ทั่วผิวบริเวณเปลือกตา ส่วนเกินที่ติดนิ้วก็อย่าพึ่งเช็ดออกนะคะ สามารถใช้ปาดเบา ๆ ที่หัวตาได้ค่ะ จากนั้นใช้สีที่เข้มขึ้น แล้วแต้มลงไปบริเวณกลางตาไปจนถึงหางตา เพื่อทำให้ตาดูมีมิติมากขึ้นนั่นเองค่ะ แต่จริง ๆ แล้วการลงอายแชโดว์ไม่ได้มีกฎตายตัวนะคะ สามารถเลือกโทนสีที่ต้องการและแต่งแต้มได้ตามความชอบเลยค่ะ
6. เพิ่มสีสันให้เปลือกตาด้วย
อายแชโดว์ (Eyeshadow)
โทนสีของเปลือกตาที่เราเลือกมีผลทำให้ลุคของการแต่งหน้าเปลี่ยนไปนะคะ อายแชโดว์สีพื้นฐานที่ควรมีไว้ติดกระเป๋าเครื่องสำอาง ก็คือ สีเบจ หรือ ชมพูอ่อน ซึ่งเป็นเหมือนสีเริ่มต้น สามารถใช้ได้หลายงาน ไม่ว่าจะลุคออกงานสังคม ทานข้าว ปาร์ตี้ หรือไปสมัครงานก็ยังได้ แต่ถ้าหากอยากให้ตาดูหวานขึ้นก็ให้ลองใช้สีชมพู ถ้าอยากได้ลุคสดใสก็แนะนำเป็นสีส้ม หรือถ้าอยากได้คลาสสิคลุค ก็ลองสีน้ำตาล-ทองดูได้ค่ะ
วิธีการลงอายแชโดว์ก็ไม่ยาก มือใหม่สามารถใช้นิ้วแต้มอายแชโดว์ลงไปบนเปลือกตาได้เลยค่ะ ค่อย ๆ แต้มลงไปโดยเริ่มจากสีอ่อนให้ทั่วผิวบริเวณเปลือกตา ส่วนเกินที่ติดนิ้วก็อย่าพึ่งเช็ดออกนะคะ สามารถใช้ปาดเบา ๆ ที่หัวตาได้ค่ะ จากนั้นใช้สีที่เข้มขึ้น แล้วแต้มลงไปบริเวณกลางตาไปจนถึงหางตา เพื่อทำให้ตาดูมีมิติมากขึ้นนั่นเองค่ะ แต่จริง ๆ แล้วการลงอายแชโดว์ไม่ได้มีกฎตายตัวนะคะ สามารถเลือกโทนสีที่ต้องการและแต่งแต้มได้ตามความชอบเลยค่ะ
7. กรีดตาในแบบที่ชอบด้วย
อายไลเนอร์ (Eyeliner)
บอกเลยว่าการเขียนอายไลเนอร์ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับมือใหม่จริง ๆ ค่ะ เนื่องจากโดยธรรมชาติของคน เมื่อมีอะไรเข้าไปใกล้ดวงตา ร่างกายก็จะสั่งให้เราหลับตาเพื่อป้องกันอันตรายทันที อาการเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาตอนเราเขียนขอบตาได้ง่าย ๆ เพราะเมื่ออายไลเนอร์เข้าใกล้ดวงตา เราก็จะกะพริบตาถี่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น การเขียนอายไลเนอร์ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถแน่นอน สำหรับมือใหม่จึงแนะนำให้ใช้อายไลเนอร์แบบดินสอหรือแบบปากกาก่อน เพราะเขียนง่ายกว่าแบบอื่น ๆ ถ้าเริ่มจากการใช้แบบเจลที่ต้องใช้คู่กับพู่กัน หากควบคุมน้ำหนักมือไม่พอดี จะทำให้คุมขนาดและทิศทางของเส้นได้ยากนั่นเองค่ะ ดังนั้นแนะนำให้ผู้ที่เริ่มหัดแต่งหน้าฝึกเขียนด้วยอายไลเนอร์แบบดินสอหรือปากกาให้ชินมือเสียก่อนนะคะแล้วค่อยปรับไปใช้อายไลเนอร์แบบอื่นในอนาคต
7. กรีดตาในแบบที่ชอบด้วย
อายไลเนอร์ (Eyeliner)
บอกเลยว่าการเขียนอายไลเนอร์ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับมือใหม่จริง ๆ ค่ะ เนื่องจากโดยธรรมชาติของคน เมื่อมีอะไรเข้าไปใกล้ดวงตา ร่างกายก็จะสั่งให้เราหลับตาเพื่อป้องกันอันตรายทันที อาการเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาตอนเราเขียนขอบตาได้ง่าย ๆ เพราะเมื่ออายไลเนอร์เข้าใกล้ดวงตา เราก็จะกะพริบตาถี่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น การเขียนอายไลเนอร์ก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถแน่นอน สำหรับมือใหม่จึงแนะนำให้ใช้อายไลเนอร์แบบดินสอหรือแบบปากกาก่อน เพราะเขียนง่ายกว่าแบบอื่น ๆ ถ้าเริ่มจากการใช้แบบเจลที่ต้องใช้คู่กับพู่กัน หากควบคุมน้ำหนักมือไม่พอดี จะทำให้คุมขนาดและทิศทางของเส้นได้ยากนั่นเองค่ะ ดังนั้นแนะนำให้ผู้ที่เริ่มหัดแต่งหน้าฝึกเขียนด้วยอายไลเนอร์แบบดินสอหรือปากกาให้ชินมือเสียก่อนนะคะแล้วค่อยปรับไปใช้อายไลเนอร์แบบอื่นในอนาคต
8. ปัดขนตาให้งอนสวยด้วย
มาสคาร่า (Mascara)
มาถึงในส่วนของขนตากันบ้าง หากต้องการจะมีขนตาที่งอนยาว เด้ง อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ก่อนจะปัดมาสคาร่าก็คือ ที่ดัดขนตา ซึ่งเราจะต้องดัดขนตาให้งอนยาวดูสวยงามเสียก่อน ทริคง่าย ๆ คือการใช้ไดร์เป่าผม เป่าที่ดัดขนตาให้อุ่นประมาณ 20 วินาที แนะนำว่าควรใช้นิ้วแตะ ๆ ทดสอบก่อนนำมาใช้ดัดขนตาจริงด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้ที่ดัดให้ร้อนจนเกินไป การทำแบบนี้จะช่วยให้ขนตางอนเด้งเป็นทรงตามที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น ส่วนวิธีการดัด ให้เริ่มดัดจากโคนขนตาด้านในสุด (ระวังหนีบหนังตาด้วยนะคะ) เมื่อได้ล็อกแล้วก็กดย้ำ ๆ และค่อย ๆ เลื่อนออกมาดัดที่ส่วนกลางขนตา และสุดท้ายที่ปลายขนตา
จากนั้นใช้มาสคาร่าปัดที่ขนตาบนก่อน โดยให้เราเงยหน้า มองต่ำ ปัดซิกแซกขึ้นจากบริเวณโคนขึ้นไป ข้อสำคัญคือไม่ควรปัดตรง ๆ ทีเดียวค่ะ เพราะเนื้อของมาสคาร่าจะติดไม่ทั่วขนตาเรา ส่วนการปัดขนตาล่างให้ก้มหน้า มองสูง จากนั้นก็ปัดซิกแซกเหมือนเดิม โดยทั่วไปขนตาล่างจะสั้นกว่าขนตาบน ดังนั้นให้ระวังนิดนึงนะคะ เพราะอาจทำให้มาสคาร่าเลอะบริเวณขอบตาล่างได้ ถ้าหากอยากได้ขนตายาวและงอนมากขึ้นอีก ก็สามารถเลือกใช้มาสคาร่าแบบพิเศษที่ช่วยให้ขนตายาวได้ด้วย
อย่างไรแล้ว สำหรับการเขียนอายไลเนอร์และการปัดมาสคาร่า สามารถสลับขั้นตอนกันได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลยนะคะ หากดัดขนตาและปัดมาสคาร่าก่อน ก็อาจทำให้สะดวกขึ้นในการเติมอายไลเนอร์ลงไปเฉพาะจุดระหว่างขนตา แต่ก็อาจไม่ถนัดสำหรับบางคนที่ต้องการเขียนเส้นอายไลเนอร์ให้ต่อเนื่องเป็นเส้นยาวเพราะจะทำได้ยาก ลองปรับใช้กันดูนะคะ
8. ปัดขนตาให้งอนสวยด้วย
มาสคาร่า (Mascara)
มาถึงในส่วนของขนตากันบ้าง หากต้องการจะมีขนตาที่งอนยาว เด้ง อุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ก่อนจะปัดมาสคาร่าก็คือ ที่ดัดขนตา ซึ่งเราจะต้องดัดขนตาให้งอนยาวดูสวยงามเสียก่อน ทริคง่าย ๆ คือการใช้ไดร์เป่าผม เป่าที่ดัดขนตาให้อุ่นประมาณ 20 วินาที แนะนำว่าควรใช้นิ้วแตะ ๆ ทดสอบก่อนนำมาใช้ดัดขนตาจริงด้วยนะคะ เพื่อไม่ให้ที่ดัดให้ร้อนจนเกินไป การทำแบบนี้จะช่วยให้ขนตางอนเด้งเป็นทรงตามที่เราต้องการได้ง่ายขึ้น ส่วนวิธีการดัด ให้เริ่มดัดจากโคนขนตาด้านในสุด (ระวังหนีบหนังตาด้วยนะคะ) เมื่อได้ล็อกแล้วก็กดย้ำ ๆ และค่อย ๆ เลื่อนออกมาดัดที่ส่วนกลางขนตา และสุดท้ายที่ปลายขนตา
จากนั้นใช้มาสคาร่าปัดที่ขนตาบนก่อน โดยให้เราเงยหน้า มองต่ำ ปัดซิกแซกขึ้นจากบริเวณโคนขึ้นไป ข้อสำคัญคือไม่ควรปัดตรง ๆ ทีเดียวค่ะ เพราะเนื้อของมาสคาร่าจะติดไม่ทั่วขนตาเรา ส่วนการปัดขนตาล่างให้ก้มหน้า มองสูง จากนั้นก็ปัดซิกแซกเหมือนเดิม โดยทั่วไปขนตาล่างจะสั้นกว่าขนตาบน ดังนั้นให้ระวังนิดนึงนะคะ เพราะอาจทำให้มาสคาร่าเลอะบริเวณขอบตาล่างได้ ถ้าหากอยากได้ขนตายาวและงอนมากขึ้นอีก ก็สามารถเลือกใช้มาสคาร่าแบบพิเศษที่ช่วยให้ขนตายาวได้ด้วย
อย่างไรแล้ว สำหรับการเขียนอายไลเนอร์และการปัดมาสคาร่า สามารถสลับขั้นตอนกันได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลยนะคะ หากดัดขนตาและปัดมาสคาร่าก่อน ก็อาจทำให้สะดวกขึ้นในการเติมอายไลเนอร์ลงไปเฉพาะจุดระหว่างขนตา แต่ก็อาจไม่ถนัดสำหรับบางคนที่ต้องการเขียนเส้นอายไลเนอร์ให้ต่อเนื่องเป็นเส้นยาวเพราะจะทำได้ยาก ลองปรับใช้กันดูนะคะ
9. ปัดแก้มให้ดูมีชีวิตชีวาด้วย
บลัชออน (Blush on)
อยากให้พวงแก้มดูกระจ่างใสมีชีวิตชีวา ขึ้นเลือดฝาดดูเป็นธรรมชาติ ก็ต้องบลัชออนนี่แหละค่ะ ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายโทนสีไม่แพ้อายแชโดว์เลย อีกทั้งยังมีหลากหลายเนื้อ ทั้งแบบฝุ่น แบบครีม และการปัดแก้มก็มีหลายวิธีอีกเช่นกัน แต่แบบที่เป็นพื้นฐานที่มือใหม่ควรฝึกเอาไว้ก่อนก็คือ การปัดโหนกแก้มที่ข้างจมูก แล้วค่อย ๆ ปัดเฉียงขึ้นด้านบนบาง ๆ นั่นเองค่ะ ส่วนแบบที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ คงไม่พ้นการปัดบลัชออนตรงหน้าแก้มทั้ง 2 ฝั่ง และเชื่อมกันด้วยการปัดพาดบริเวณจมูกไปด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนให้ความเห็นว่าการปัดแบบนี้จะทำให้ดูขี้เล่นและดูเด็กลงด้วยนะคะ
9. ปัดแก้มให้ดูมีชีวิตชีวาด้วย
บลัชออน (Blush on)
อยากให้พวงแก้มดูกระจ่างใสมีชีวิตชีวา ขึ้นเลือดฝาดดูเป็นธรรมชาติ ก็ต้องบลัชออนนี่แหละค่ะ ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายโทนสีไม่แพ้อายแชโดว์เลย อีกทั้งยังมีหลากหลายเนื้อ ทั้งแบบฝุ่น แบบครีม และการปัดแก้มก็มีหลายวิธีอีกเช่นกัน แต่แบบที่เป็นพื้นฐานที่มือใหม่ควรฝึกเอาไว้ก่อนก็คือ การปัดโหนกแก้มที่ข้างจมูก แล้วค่อย ๆ ปัดเฉียงขึ้นด้านบนบาง ๆ นั่นเองค่ะ ส่วนแบบที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ คงไม่พ้นการปัดบลัชออนตรงหน้าแก้มทั้ง 2 ฝั่ง และเชื่อมกันด้วยการปัดพาดบริเวณจมูกไปด้วย ซึ่งหลาย ๆ คนให้ความเห็นว่าการปัดแบบนี้จะทำให้ดูขี้เล่นและดูเด็กลงด้วยนะคะ
PRO TIP:
หากใครที่รู้สึกว่าอยากเพิ่มมิติให้ใบหน้า
หรืออยากปรับโครงหน้าให้ดูเล็กลง
สามารถทำได้ด้วยการใช้บรอนเซอร์
(Bronzer) ไล่ไปตามบริเวณกรอบหน้า
ได้ด้วยนะคะ หรือจะทำการไล่จมูก
ให้ดูมีมิติเป็นสันขึ้นมาก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
นอกจากนี้หากต้องการเพิ่มความฉ่ำโกลว์
ให้กับผิว อยากให้ผิวมีความวาว
เล่นแสง แนะนำให้ปัดไฮไลท์ (Highlight)
บริเวณโหนกแก้มหลังลงบลัชออน
บริเวณใต้ท้องคิ้วทั้ง 2 ข้าง รวมถึงปลายจมูก
และกระจับปาก จะทำให้ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นค่ะ
เพราะทั้ง 4 จุดของใบหน้าที่กล่าวมานั้นเป็นบริเวณ
ที่แสงจะตกกระทบเป็นหลักนั่นเองค่ะ
10. เติมสีสันให้ริมฝีปากด้วยลิปสติก (Lipstick)
เชื่อว่าเครื่องสำอางชิ้นแรกของทุกคนคงจะหนีไม่พ้น “ลิปสติก” อย่างแน่นอนเลยใช่ไหมคะ เพราะเป็นไอเท็มที่สามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด และการทาลิปสติกนั้นไม่ยากเลยค่ะ แต่การเลือกลิปสติกสัก 1 แท่งให้ถูกใจจริง ๆ นั้นยากเหลือเกิน เพราะลิปสติกมีหลากหลายเฉดสีมาก ๆ ทั้งโทนส้ม ชมพู แดง น้ำตาล หรือสีสันเฉพาะเทศกาลก็มี อีกทั้งยังมีหลายเนื้อ ทั้งเนื้อลิควิด เนื้อแมท เนื้อซาติน เนื้อกลอส และอีกมากมาย เป็นเหตุให้หลาย ๆ คนมีลิปสติกติดกระเป๋ามากกว่า 1 แท่งได้ง่าย ๆ เลยค่ะ
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกลิปสติกอย่างไรดี แนะนำให้ไปลองก่อนที่จะเลือกซื้อนะคะ โดยการลองลิปสติกที่ท้องแขนด้านใน ตรงส่วนที่ไม่โดนแดดจะเหมาะสมที่สุด และสิ่งสำคัญก่อนทาลิปสติก ก็คือ ริมฝีปากของเราต้องชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก หรือลอกเป็นขุย ต้องหมั่นบำรุงด้วยการทาลิปบาล์ม อย่าให้ผิวริมฝีปากของเราแห้งแตก ไม่อย่างนั้นเวลาทาลิปสติกแล้ว เนื้อลิปอาจตกลงไปตามร่องแตกบนริมฝีปากได้ค่ะ หากใครทาลิปสติกเก่งแล้ว ลองเพิ่มไฮไลท์ ลงลิปไลเนอร์ หรือจะวาดรูปปากใหม่ในแบบของตัวเองก็น่าสนุกไปอีกแบบนะคะ
10. เติมสีสันให้ริมฝีปากด้วยลิปสติก (Lipstick)
เชื่อว่าเครื่องสำอางชิ้นแรกของทุกคนคงจะหนีไม่พ้น “ลิปสติก” อย่างแน่นอนเลยใช่ไหมคะ เพราะเป็นไอเท็มที่สามารถใช้งานได้ง่ายที่สุด และการทาลิปสติกนั้นไม่ยากเลยค่ะ แต่การเลือกลิปสติกสัก 1 แท่งให้ถูกใจจริง ๆ นั้นยากเหลือเกิน เพราะลิปสติกมีหลากหลายเฉดสีมาก ๆ ทั้งโทนส้ม ชมพู แดง น้ำตาล หรือสีสันเฉพาะเทศกาลก็มี อีกทั้งยังมีหลายเนื้อ ทั้งเนื้อลิควิด เนื้อแมท เนื้อซาติน เนื้อกลอส และอีกมากมาย เป็นเหตุให้หลาย ๆ คนมีลิปสติกติดกระเป๋ามากกว่า 1 แท่งได้ง่าย ๆ เลยค่ะ
สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรจะเลือกลิปสติกอย่างไรดี แนะนำให้ไปลองก่อนที่จะเลือกซื้อนะคะ โดยการลองลิปสติกที่ท้องแขนด้านใน ตรงส่วนที่ไม่โดนแดดจะเหมาะสมที่สุด และสิ่งสำคัญก่อนทาลิปสติก ก็คือ ริมฝีปากของเราต้องชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก หรือลอกเป็นขุย ต้องหมั่นบำรุงด้วยการทาลิปบาล์ม อย่าให้ผิวริมฝีปากของเราแห้งแตก ไม่อย่างนั้นเวลาทาลิปสติกแล้ว เนื้อลิปอาจตกลงไปตามร่องแตกบนริมฝีปากได้ค่ะ หากใครทาลิปสติกเก่งแล้ว ลองเพิ่มไฮไลท์ ลงลิปไลเนอร์ หรือจะวาดรูปปากใหม่ในแบบของตัวเองก็น่าสนุกไปอีกแบบนะคะ